โฮมฮับไอเดีย

ตกแต่งบ้านของคุณด้วยดาวไลท์ (Downlight)

ตกแต่งบ้านของคุณด้วยดาวไลท์ (Downlight)

ปกติแล้วเวลาเราจะตกแต่งบ้าน เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องศึกษาเรื่องแสงและโคมไฟเพื่อการตกแต่งบ้านของเราให้สวยงาม และแน่นอนโคมไฟดาวไลท์ (Downlight) มีส่วนสำคัญอย่างมากที่สร้างบรรยากาศในห้องต่างๆให้ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น และเมื่อพูดถึงไฟ Downlight คุณนึกถึงอะไร ? หน้าตาเป็นอย่างไร ? แล้วดาวไลท์ที่ว่าใช้งานยังไงกัน ? ดาวไลท์มีส่วนสำคัญต่องานดีไซน์ของเหล่า Designer อย่างไรในการแต่งห้อง โฮมฮับเรามีคำตอบให้กับคุณ

ปัจจุบันสิ่งที่เหล่าดีไซน์เนอร์และมัณฑนากรทั่วโลกยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวแปลหลักที่จะทำให้บ้านสวยขึ้น ก็คือการเลือกใช้ “แสงไฟ” ที่เหมาะสม ซึ่งคนที่กำลังตกแต่งบ้านหลายๆคนอาจมองข้ามจุดนี้ไปอย่างสิ้นเชิง และในบางกรณีการใช้ไฟดาวไลท์ที่เป็นสิ่งให้แสงสว่างหลักของบ้านเรานั้นอาจจะถูกรวมอยู่ในค่าแรงรับเหมาของผู้รับเหมาไปแล้ว หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่คุณจะได้อาจจะไม่ใช่ดาวไลท์ตัวที่ให้แสงเหมาะสมเฉพาะตัวคุณและลำแสงที่ได้อาจจะไม่สวยอย่างที่คุณฝันไว้นั้นเอง หากคุณใส่ใจมันสักนิดรับรองจะทำให้บ้านคุณออกมา perfect ที่สุดและเพื่อนๆต้องต่างพากันชมบ้านคุณว่าสวยเมื่อมาเยี่ยมคุณอย่างแน่นอน

การเลือกใช้โคมไฟดาวไลท์ (Downlight) ให้ถูกต้อง เป็นหนึ่งในตัวแปลหลักด้านการดีไซน์แสงไฟ เพราะดาวไลท์คือโคมไฟหลักที่ทำหน้าที่ให้แสงสว่างโดยรอบภายในอาคารและห้องต่างๆในบ้าน และส่วนใหญ่จะเป็นแสงหลัก 80% ของบ้านและอาคารเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นเราจึงต้องใส่ใจกับ 80% นี้ในการเลือกโคมไฟดาวไลท์เช่นกัน เพื่อให้แน่ใจว่าบ้านจะออกมาได้ดีและสวยจริงๆ แสงไฟภายในบ้านจะสวยได้ หากมีการเลือกใช้โคมไฟดาวไลท์ (Downlight) ที่ดี ไม่ว่าจะเป็น การดีไซน์แสงไฟ การเว้นระยะห่างระหว่างโคม การเช็คและคำนึงถึงความสูงของฝ้า จะมีผลทำให้แสงออกมาดูสวยหรือไม่สวยได้และยังกำหนดความสว่างว่าแสงที่ออกมานั้นพอสำหรับใช้งานกับบริบทต่างๆหรือไม่เช่นกัน ฉะนั้นวันนี้เราจะมาบอกเคล็ดลับและวิธีเลือกดาวไลท์และทำแสงอย่างไรให้บ้านคุณออกมาสวยและตรงความชอบของคุณกัน

โคมไฟ Downlight มีทั้งหมด 4 แบบ คือ

  1. โคมไฟดาวไลท์แบบฝังใต้ฝ้า (Recessed Downlight) เป็นแบบที่นิยมใช้งานมากที่สุดในงานที่พักอาศัย โรงแรม รวมถึงตามอาคารสำนักงาน ด้วยการติดตั้งแบบซ่อนตัวโคม ผู้ใช้งานจะเห็นเพียงแค่หน้าโคมซึ่งขนานราบไปกับฝ้าเพื่อให้กลมกลืนกับดีไซน์ของฝ้าแต่ละพื้นที่ หรือบางครั้งก็สามารถใช้โคมไฟประเภทนี้ในการตกแต่งสถานที่ได้ด้วยเช่นกัน
  2. โคมไฟดาวไลท์แบบติดลอย (Surface Downlight) เป็นแบบที่ใช้งานในบ้านหรืออาคารที่ไม่มีโครงฝ้า ผู้ใช้งานมองเห็นตัวโคมได้อย่างชัดเจนหลังจากติดตั้ง นิยมใช้เป็นไฟหลัก และด้วยผู้ใช้งานต้องเห็นตัวโคมจึงมีรูปทรงและขนาดที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้แก่สถานที่
  3. โคมไฟดาวไลท์แบบห้อยเพดาน (Pendant Luminaire) เป็นแบบที่ผู้ใช้งานนิยมเลือกใช้โดยดูจากความสวยงามและรูปทรงที่กลมกลืนไปกับสไตล์ของพื้นที่เป็นหลัก ตัวโคมเน้นให้โดดเด่น ติดตั้งแบบมีสายห้อยลงมาจากฝ้าเพดาน นอกจากดีไซน์โคมที่หลากหลายแล้ว รูปแบบของแสงก็หลายหลายเช่นกัน เพื่อใช้ตกแต่งพร้อมกับให้ฟังก์ชั่นส่องสว่างที่ครอบคลุมไปพร้อม ๆ กัน
  4. โคมไฟดาวไลท์แบบฝังกึ่งลอย (Semi Recessed Downlight) ตัวโคมจะฝังอยู่ในฝ้าเพดานและมีส่วนหน้าโคมยื่นออกมาเล็กน้อย สามารถติดตั้งได้แม้มีเงื่อนไขข้อจำกัดของพื้นที่ใต้ฝ้า เหมาะสำหรับบ้านหรือโครงการที่อยากให้ฝ้าเพดานมีลูกเล่น เน้นส่องสว่างพร้อมตกแต่งไปในตัว

การติดตั้งโคมไฟดาวไลท์

  • ห้องนอน ควรติดโคมไฟดาวไลท์ห่างกันทุก ๆ 5 เมตร
  • ห้องทำงาน ควรติดโคมไฟดาวไลท์เว้นระยะห่างกันที่ 8 เมตร
  • ห้องนั่งเล่น ควรเว้นระยะห่างประมาณ 1 เมตร

อย่างไรก็ตามในการออกแบบและวางตำหน่งไฟภายในห้องควรคำนึงถึงตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์และพื้นที่การใช้งานร่วมด้วย พร้อมค่าความสว่างที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่เพื่อสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีของผู้ใช้งาน

ดาวไลท์ คืออะไร ต่างกับหลอดไฟทั่วไปอย่างไร

ดาวไลท์ คือ อะไร?แล้วมันอยู่ส่วนไหมของบ้านของเราติดแล้วน่าจะจะออกมาแบบไหนจะเหมือนๆกับ หลอดไฟ LED ทั่วไปหรือปล่าว นิยามง่ายๆ คือ โคมไฟทุกชนิดที่ให้แสงจากตำแหน่งด้านบนส่องแสงลงมา สามารถใช้งานได้ทัั้งภายใน และภายนอก ส่วนมากนิยมใช้ภายในเป็นหลัก ตามห้องต่างๆ ทั้งบ้านพักอาศัย โรงแรม ออฟฟิศ เป็นต้น ปัจจุบันสามารถแบ่งง่ายๆตามลักษณะของเทคโนโลยีได้ 2 ชนิด ดังนี้

  1. โคมดาวไลท์ แบบดั้งเดิม ( Traditional Downlight ) ชนิด 4นิ้ว, 6นิ้ว สามารถเปลี่ยนหลอดได้เอง โดยจะมีขั้วให้เลือกใช้ ทั้ง E27 , E14 ข้อดีของ ดาวไลท์ ชนิดนี้ คือ สะดวกในการซ่อมบำรุง Maintainaceง่าย สามารถหมุนเปลี่ยน หลอดไฟ ได้เอง สามารถเลือกชนิดหลอดไฟว่าจะเป็น หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือชนิด ดาวไลท์ สามารถเลือกอุณหภูมิแสงได้ง่าย ตามความต้องการ
  2. ไฟดาวไลท์ LED จะมีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ขนาดบาง โดยนำเทคโลยีแอลอีดีที่มีความประหยัดพลังงาน ประหยัดไฟ และยังคงให้ความสว่างมาก อีกทั้งยังยืดอายุการใช้งานได้ยาวนาน มีค่าอุณหภูมิแสงให้เลือกทั้ง Daylight , Cool White และ Warm White และปัจจุบัน ล่าสุดมีเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแสงได้ในโคมตัวเดียวกัน ช่วยให้สร้างความรู้สึก และบรรยากาศแตกต่างกันออกไป ข้อดีอีกอย่างของ ดาวไลท์ LED คือ มีวัตต์ให้เลือกใช้งานหลากหลาย ตั้งแต่ 5w ถึง 30w ไฟดาวไลท์ ถือเป็นโคมที่ติดเพดานแล้วดูดีกว่าหลอดไฟชนิดอื่นๆ เพราะรูปทรงที่เหมาะสำหรับฝังเพดานทำให้ดูเนียนตา และอายุการใช้งานของ ไฟดาวไลท์ แบรนด์ RICH ยาวนานถึง 25,000 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ทางบริษัทได้คัดเลือกแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพ นำมาจัดจำหน่าย โคมไฟดาวไลท์ ในราคาถูกที่สุด มีรูปแบบสี่เหลี่ยม วงกลม ทุกขนาด และวัตต์ให้เลือกใช้มากมาย พร้อมให้บริการด้านข้อมูลเพิ่มเติม รวมไปถึงมีสินค้าพร้อมจัดส่งทั่วประเทศ 

วิธีเลือกไฟดาวไลท์ ให้เหมาะกับการใช้งาน

ไฟดาวไลท์ควรใช้คู่กับหลอดประหยัดไฟแบบต่าง ๆ เพราะไฟประเภทนี้จะเป็นไฟประเภทที่ต้องใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน สามารถติดตั้งได้ทั้งแบบแนวนอนและแนวดิ่ง การติดตั้งแบบแนวนอนจะช่วยให้แสงสว่างกระจายตัวในบริเวณกว้างมากขึ้น เหมาะกับเพดานที่มีช่องผนังแคบ ส่วนการติดตั้งแบบแนวดิ่งจะช่วยเรื่องการระบายความร้อน ที่สามารถทำได้ดีกว่า แต่อาจจะมีจุดอ่อนคือหากติดตั้งในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ได้วางแผนไว้ก่อน ก็อาจจะกลายเป็นแสงไฟรบกวน แยงตาได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรามาดูวิธีเลือกไฟประเภทนี้แบบไหนดี เพื่อนำมาใช้งานให้เหมาะสมได้ดังนี้

  1. ให้เลือกโดยดูที่วิธีการใส่หลอดไฟ การใส่หลอดไฟดาวไลท์นั้นมีด้วยกัน 2 วิธี
    • แบบใส่หลอดไฟแนวตั้ง แบบที่นิยมมากที่สุด และใช้กันอยู่โดยทั่วไป เหมาะสำหรับใส่หลอดไส้ และหลอดตะเกียบ
    • แบบใส่หลอดไฟแนวนอน โคมไฟแบบนี้จะมีความยาวน้อยกว่าแบบโคมไฟแนวตั้ง เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ใต้ฝ้าไม่มาก
  2. ดูชนิดขั้วหลอดจากข้างโคม โคมไฟที่ใช้งานต้องสัมพันธ์กับกับขั้วหลอดไฟ และหลอดไฟก็มีผลิตกันออกมามากมายหลายชนิด การที่เราจะเลือกใช้ขั้วหลอดไฟแบบไหน สามารถดูรหัสขั้วหลอดได้ที่ข้างโคม แต่ก็มีขั้วหลอดไฟแบบที่เป็นที่นิยม เช่น E27 คือขั้วเกลียว คู่กับ หลอดไส้ หลอดไส้ทรงกรวย หลอดปิงปอง (GLS)   หลอดตะเกียบ หรือ หลอด Compact Fluorescent  เลข GU4 ใช้กับกับ หลอดฮาโลเจน  ( MR11) และเลข G23 ใช้กับ หลอดตะเกียบแบบขั้วเขี้ยว(TC)
  3. ดูขนาดโคม ขนาดความสูงดวงโคมไฟ ต้องเลือกให้พอดีกับพื้นที่ติดตั้งใต้ฝ้าเพดาน และต้องเหลือพอให้มีช่องว่าง เพื่อระบายความร้อน ซึ่งควรเว้นระยะอีกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร หรือโดยดูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในโคมไฟ ไม่ให้เล็กกว่าขนาดหลอดไฟ
  4. ผิวสะท้อนภายในโคม ผิวสะท้อนด้านในของโคมไฟดาวไลท์ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามประเภทที่จะใช้งาน แบ่งออกเป็น 3 แบบในการสะท้อนแสงไฟออกมา
    • Clear Anodized จะเป็นผิวแบบเรียบมันวาว ให้แสงสว่างเต็มที่
    • Beehive Facet จะเป็นพื้นผิวมันแต่มีมุมหักเหแสง ให้แสงที่เจิดจ้าเป็นประกาย เหมาะกับการส่องเน้นเฉพาะจุด
    • Sand Blast & Line Facet จะเป็นผิวเหลี่ยมมีมุมหักเหแสง พื้นผิวพ่นทราย ให้แสงที่เป็นประกาย และนุ่มนวลสบายตา
  5. รัศมีส่องสว่างดูได้จากข้างกล่อง ที่ข้างกล่องจะแสดงเป็นกราฟแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างความกว้างของรัศมีแสง กับความสูงของดวงโคม จะช่วยในการกำหนดระยะห่างของดวงโคมกับพื้นที่ใช้งานจริง เพื่อให้ได้ความสว่างที่พอเหมาะ โดยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแสงส่อง จะเป็นตัวกำหนดตำแหน่ง จำนวนหลอดไฟ และตำแหน่งความสูงของไฟดาวไลท์

แวะชมสินค้าของเราได้ที่ www.homehub.co.th

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *